
ในช่วงต้นยุค 2000 ก่อนที่ฮอลลีวูดจะเริ่มเทรนด์ “รีบูตจักรวาล” อย่างจริงจัง มีหนังหนึ่งที่ถูกจับตามองมากเป็นพิเศษ — Planet of the Apes (2001) ผลงานของผู้กำกับสายวิสัยทัศน์สุดล้ำ Tim Burton ที่หยิบเอาภาพยนตร์ไซไฟคลาสสิกจากปี 1968 มาปัดฝุ่นใหม่ในยุคที่เทคนิคพิเศษเริ่มก้าวกระโดด หนังเรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่การเล่าเรื่องเดิม แต่เป็นการ “ตีความใหม่” ของโลกที่มนุษย์ไม่ใช่เจ้าของอีกต่อไป

เรื่องเริ่มในปี 2029 เมื่อสถานีอวกาศ “โอเบรอน” ส่งนักบินฝึกหัดชื่อ ลีโอ เดวิดสัน (รับบทโดย Mark Wahlberg) ออกไปตามหาลิงทดลองที่หลงเข้าไปในพายุอวกาศประหลาด แต่โชคร้ายที่ยานของเขากลับถูกดูดเข้าไปด้วย และเมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาพบว่าตัวเองตกบนดาวที่ไม่คุ้นเคย — ดาวที่สิ่งมีชีวิตครองโลกไม่ใช่มนุษย์ แต่คือ “วานร” ที่พูดได้ เดินได้ และมีกฎหมายของตัวเอง
ลีโอถูกจับโดยกองทัพวานรและถูกขายเป็นทาส เช่นเดียวกับมนุษย์คนอื่นๆ ที่ถูกกดขี่ในฐานะเผ่าพันธุ์ต่ำต้อย แต่ในความโชคร้าย เขากลับได้พบกับ อารี (Helena Bonham Carter) ลูกสาวนักการเมืองวานรผู้มีหัวใจอ่อนโยนและเชื่อว่ามนุษย์ควรถูกปฏิบัติอย่างเท่าเทียม อารีจึงช่วยลีโอหลบหนีออกจากกรง ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติระหว่างสองเผ่าพันธุ์ — มนุษย์ผู้ต้องการอิสระ และวานรที่ไม่ยอมเสียอำนาจ
สิ่งที่โดดเด่นมากของหนังเวอร์ชันนี้คือ “งานเมกอัพและการออกแบบตัวละคร” ที่สมจริงจนแทบลืมไปว่านี่คือนักแสดงในชุดขน โดยเฉพาะบทของ เจเนอรัล เธด (Tim Roth) วานรนักรบผู้โหดเหี้ยมที่ทั้งเคลื่อนไหวและพูดด้วยพลังเต็มร้อย เขาเป็นตัวแทนของ “ความกลัวต่อการสูญเสียอำนาจ” ที่มนุษย์เองก็มีไม่ต่างกัน ขณะที่ฝั่งมนุษย์ในหนังกลับอ่อนแอและกลายเป็นผู้ถูกล่า นี่คือภาพสะท้อนกลับของสังคมในยุคที่อำนาจอาจไม่ใช่สิ่งที่คนคู่ควรเสมอ
หนังมีฉากหนีและต่อสู้ที่เข้มข้นตลอดทาง ทั้งในป่าทึบ เมืองของวานร และสนามรบตอนท้ายที่ใช้เอฟเฟกต์และสโลว์โมชั่นได้อย่างมีสไตล์แบบ “ทิม เบอร์ตัน” แท้ๆ ความขัดแย้งระหว่างลีโอกับเธดถูกถ่ายทอดเหมือนสงครามศรัทธา — ฝ่ายหนึ่งเชื่อในความเท่าเทียม อีกฝ่ายเชื่อในพันธุกรรม หนังจึงไม่ใช่แค่ไซไฟแอ็กชัน แต่มันคือการตั้งคำถามต่อ “ความเป็นมนุษย์” ว่าเรายังเหนือสัตว์อยู่จริงหรือไม่
ในตอนจบ (สปอยล์เล็กน้อย): เมื่อลีโอใช้ยานที่ตกค้างกลับสู่อวกาศ เขาคิดว่าจะได้กลับบ้าน แต่กลับพบว่าโลกในอนาคตได้กลายเป็น “พิภพวานร” ไปแล้ว — รูปปั้นลินคอล์นกลายเป็นใบหน้าของวานรเธด และตำรวจในชุดเครื่องแบบก็เป็นลิงทั้งหมด เป็นฉากจบที่สร้างความตกตะลึงให้คนดูยุคนั้นแบบสุดๆ และเปิดทางให้เกิดการตีความต่อเนื่องว่า “แท้จริงแล้วใครคือผู้ปกครองโลกกันแน่”
แม้หนังจะไม่ได้รับเสียงชื่นชมสูงเท่าต้นฉบับ (เพราะโครงเรื่องบางส่วนยังไม่ลงตัว และจังหวะเล่าเรื่องค่อนข้างเร่ง) แต่ Planet of the Apes เวอร์ชัน 2001 ก็ถือว่าเป็น “การตีความใหม่” ที่มีเอกลักษณ์ในแบบของ Tim Burton อย่างชัดเจน ทั้งโทนภาพสีหม่น มุมกล้องเหนือจริง และความหม่นเศร้าที่ซ่อนอยู่ในบทสนทนา มันคือหนังที่ดูได้ทั้งเพื่อความบันเทิงและเพื่อสำรวจคำถามในใจเกี่ยวกับอำนาจและธรรมชาติของมนุษย์
Mark Wahlberg อาจไม่ได้มีบทที่ลึกซึ้งเท่าที่แฟนไซไฟหวัง แต่เขาทำให้ลีโอเป็นตัวแทนของ “มนุษย์ที่ยังพยายามรักษาศรัทธา” ท่ามกลางโลกที่ทุกอย่างกลับหัว ขณะที่ Helena Bonham Carter ถ่ายทอดความอบอุ่นผ่านอารีได้อย่างสวยงามจนกลายเป็นตัวละครวานรที่คนดูเอาใจช่วยที่สุดในเรื่อง
โดยรวม Planet of the Apes (2001) คือหนังที่ทั้งบ้าพลังและเปี่ยมอารมณ์ในเวลาเดียวกัน มันอาจไม่สมบูรณ์แบบแต่มีเสน่ห์เฉพาะตัว — และที่สำคัญ มันคือจุดเริ่มต้นของการรื้อฟื้นตำนาน “พิภพวานร” ให้กลับมาโลดแล่นอีกครั้ง ก่อนที่ภาคใหม่ในปี 2011 จะต่อยอดให้สมบูรณ์ในอีกระดับ
คะแนน IMDb: 5.7 / 10 (ดูรายละเอียด)
คะแนนผู้เขียน: 7.0 / 10 – เพราะแม้จะมีจุดบกพร่อง แต่พลังงานของหนังและงานออกแบบที่เหนือชั้นยังคงทำให้มันน่าจดจำ
