
ถ้าคุณคิดว่า “คอง” คือแค่ลิงยักษ์ปีนตึกกับอาละวาดในเมืองใหญ่ Kong: Skull Island (2017) จะทำให้คุณเปลี่ยนใจ — นี่คือการรีบูตจักรวาลสัตว์ประหลาด (MonsterVerse) ของ Warner Bros. และ Legendary ที่พาเรากลับสู่ยุค 70 กลางสงครามเวียดนาม พร้อมภาพสุดอลังที่บอกเราว่า “เกาะกะโหลก” คือพื้นที่ต้องห้ามที่ธรรมชาติไม่เคยยอมให้ใครรอดกลับมาได้ง่ายๆ

เรื่องราวเริ่มขึ้นหลังสงครามเวียดนามใกล้สิ้นสุด รัฐบาลสหรัฐฯ อนุมัติภารกิจสำรวจเกาะลึกลับในมหาสมุทรแปซิฟิกที่ไม่เคยปรากฏบนแผนที่ โดยมี Bill Randa (John Goodman) จากองค์กรลับ Monarch เป็นหัวหน้าทีม เขารวบรวมทีมสำรวจทางวิทยาศาสตร์และหน่วยทหารภายใต้การนำของ Colonel Packard (Samuel L. Jackson) รวมถึงอดีตทหารรับจ้าง James Conrad (Tom Hiddleston) และนักถ่ายภาพสงคราม Mason Weaver (Brie Larson) เพื่อบันทึกทุกอย่างบนเกาะ แต่เมื่อพวกเขามาถึง สิ่งที่รออยู่ไม่ใช่แค่ภูเขาไฟหรือสัตว์ป่าธรรมดา … แต่มันคือ “ราชาคอง” ผู้ปกป้องอาณาจักรแห่งนี้มานานนับศตวรรษ
ทันทีที่เฮลิคอปเตอร์บินผ่านม่านหมอก พายุลูกมหึมากลืนทุกอย่าง เสียงใบพัดเฮลิคอปเตอร์สั่นสะเทือนพร้อมเงายักษ์พาดผ่านท้องฟ้า และเพียงไม่กี่วินาทีต่อมา “คอง” ปรากฏตัว — ฉากนี้ยังคงเป็นหนึ่งในช็อตเปิดตัวสัตว์ประหลาดที่ทรงพลังที่สุดในหนังยุคใหม่ ทั้งขนาด จังหวะ และเสียงคำรามที่สะท้อนเข้าหัวใจ ผู้ชมแทบไม่มีเวลาตั้งตัวก่อนที่เครื่องบินจะถูกปัดตกทีละลำ จนทีมสำรวจแยกย้ายกันรอดตายกลางป่าที่เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดยักษ์ทั้ง “สกัลล์ครอว์เลอร์” จิ้งจกนรกจากใต้ดิน และสิ่งมีชีวิตที่ไม่เคยมีใครบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์มนุษย์
หนังเดินเรื่องแบบ “ผจญภัย–เอาชีวิตรอด” ตลอดทาง พร้อมตัดสลับมุมมองของมนุษย์กับคองอย่างแยบยล ฝ่ายทหารมองมันเป็นภัย ฝ่ายนักวิทยาศาสตร์มองมันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของธรรมชาติ แต่ฝ่ายคนดูกลับเห็น “หัวใจ” ของสัตว์ยักษ์ที่แค่ต้องการปกป้องดินแดนของตน ซึ่งเป็นธีมที่สวยงามและสอดคล้องกับความเป็น King Kong ในตำนาน Brie Larson สวมบทนักถ่ายภาพหญิงที่เริ่มเข้าใจสิ่งมีชีวิตที่ถูกมนุษย์ล่า ขณะที่ Samuel L. Jackson แสดงได้สุดขั้วในบทนายทหารผู้ไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งที่ไม่เข้าใจ จนสุดท้ายกลายเป็นตัวแทนของ “ความดื้อด้านของมนุษย์” ที่นำหายนะมาสู่ตนเอง
ฉากกลางเรื่องที่กลุ่มสำรวจพบกับชายคนหนึ่งชื่อ Hank Marlow (John C. Reilly) ซึ่งติดอยู่บนเกาะมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง ช่วยเพิ่มทั้งอารมณ์ขันและความอบอุ่นให้หนัง เขากลายเป็นตัวเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับชนพื้นเมือง ซึ่งเคารพบูชาคองราวกับเทพเจ้าผู้คุ้มครอง และด้วยน้ำเสียงของเขาเอง เราจึงได้รู้ว่าคองไม่ได้ฆ่าคนโดยไร้เหตุผล แต่มันกำลัง “ปกป้องสมดุลของเกาะ” จากอสูรใต้ดินที่กำลังจะตื่นขึ้น
ในแง่ภาพยนตร์ Kong: Skull Island คือ “งานศิลป์แห่งความระเบิด” — ภาพสวยจัด สีสันจัดเต็มแบบโปสเตอร์ยุค 70 ผสมความมันของสงครามเวียดนาม ดนตรีร็อกคลาสสิกจาก Creedence Clearwater Revival และ Black Sabbath ช่วยสร้างอารมณ์ให้รู้สึกเหมือนอยู่ในโลกที่ทั้งมีชีวิต ทั้งอันตราย และทั้งสวยงามในเวลาเดียวกัน ผู้กำกับ Jordan Vogt-Roberts ใส่กล้องมุมกว้าง ซีนย้อนแสง และภาพคองในอิริยาบถแบบเท่ทุกช็อต จนแทบจะถ่ายโปสเตอร์ได้ทุกเฟรม
สปอยล์ช่วงท้าย: เมื่อ “สกัลล์ครอว์เลอร์” ยักษ์ตื่นขึ้น การต่อสู้ระหว่างคองกับอสูรใต้ดินก็เริ่มต้นขึ้น มันคือฉากที่อลังการและโหดแบบไม่ยั้ง เลือดสาด เสียงคำรามกึกก้อง และกล้องหมุนรอบสนามรบกลางป่าราวกับฝันร้ายของมนุษย์ สุดท้ายคองเอาชนะได้แต่ก็ได้รับบาดเจ็บ ทีมสำรวจที่รอดชีวิตต้องหนีออกจากเกาะพร้อมความจริงว่า “เรามิได้อยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร” และฉากท้ายเครดิตยังเผยให้เห็นความเชื่อมโยงสู่ Godzilla และ MonsterVerse ที่กำลังจะตามมา — บอกได้เลยว่านี่ไม่ใช่แค่เรื่องของ “ลิงยักษ์” อีกต่อไป
สำหรับผม Kong: Skull Island คือหนังที่ทำหน้าที่ได้ครบทั้งความบันเทิง ความอลังการ และการเปิดจักรวาลได้อย่างแข็งแรง ถึงแม้บทสนทนาจะไม่ได้ลึกซึ้งและตัวละครมนุษย์บางรายจะจางๆ แต่ภาพ เสียง และ “ความมีชีวิต” ของคอง คือสิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ยืนได้อย่างภาคภูมิ มันไม่ใช่แค่การสู้ของสัตว์ยักษ์ แต่คือการสะท้อนว่า ธรรมชาติ ยังคงยิ่งใหญ่กว่าความทะเยอทะยานของมนุษย์เสมอ
คะแนน IMDb: 6.6 / 10 (ดูรายละเอียด)
คะแนนผู้เขียน: 8 / 10 – ให้กับความมันระดับโรงและภาพที่สวยจนอยากหยุดทุกเฟรมมาชื่นชมอีกครั้ง
